วันที่ 1 หนองคาย-เวียงจันทร์-วังเวียง- หลวงพระบาง |
07.00 ทีมงาน ให้การต้อนรับ คณะที่สนามบินอุดรธานี หรือ หนองคาย
08.00 เดินทางไปสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว เพื่อรอทำเอกสารผ่านแดนข้ามไปประเทศลาว
วันที่ 2 ตักบาตรข้าวเหนียว-พระธาตุภูสี-พระราชวัง-วัดเชียงทอง-ถ้ำติ่ง-น้ำตก ตาดกวางสี |
วันที่ 3 หลวงพระบาง-พูคูน-วังเวียง-ถ้ำจัง |
07.00 รับประทานอาหารเช้า (มื้อที่6)
วันที่ 4 วังเวียง-เวียงจันทน์-พระธาตุหลวง-ประตูชัย-หนองคาย |
07.00 รับประทานอาหารเช้า (มื้อที่9 )
08.00 จากนั้นออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ กำแพงนครหลวงเวียงจันทน์ ระยะทาง 150 กม.
12.00 รับประทานอาหารกลางวัน (มื้อที่10) ณ ภัตตาคาร ด้วยเมนูอาหารหลากหลาย
จำนวน 31 – 42 ท่าน ใช้รถบัสลาว VIP 45 ที่นั่ง ราคา ลดลงท่านละ 1,000 บาท จากราคา 8-10 ท่าน
มีสต๊าฟ และฟรีอาหารเช้า
ถ้าถามว่า ทัวร์หลวงพระบาง บริษัทไหนดี คำตอบคือ บริษัท ที.บี.บี. การท่องเที่ยว จำกัด เพราะ เราเน้นคุณภาพการบริการ เราไม่คิดที่จะขายทัวร์ครั้งเดียว และเรามีประกันภัยการเดินทางให้ทุกท่านได้อุ่นใจ ด้วยหลักประกัน 1,000,000 บาท ทุกที่นั่ง ถูกต้องตามกฏหมาย
หลวงพระบาง เป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังในระดับโลก มีความเกี่ยวขัองกับคนไทยตั้งแต่ยุคสมัยเชียงแสน ล้านช้าง ด้วยเหตุที่เป็นเมืองติดแม่น้ำโขง และมีวัดวาอารามเก่าแก่มากมาย ที่มีสถาปัตยกรรมสวยงาม มีเอกลัษณ์ ความสวยงาม ตึกรามบ้านช่อง ที่ได้รับอิทธิพลจากสมัยยุคล่าอาณานิคม ทำให้มีอาคารในรูปแบบสถาปัตยกรรม โคโลเนียลสไตล์ อยู่ทั่วไป ในส่วจองตัวเมืองล้อมรอบด้วยแม่น้ำ 2สาย คือ น้ำโขงและน้ำคาน และมีธรรมชาติสวยงามรอบเมือง มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่สวยงาม สืบสานมาจนถึงปัจจุบัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เมืองหลวงพระบางได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก ซึ่งเป็นการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแบบทั้งเมืองไม่ใช่แค่บางจุดของเมืองเหมือนอย่างที่อื่น
หลวงพระบาง อดีตเคยเป็นเมืองหลวงของลาวในยุคสมัยอาณาจักรล้านช้าง เมื่อองค์การยูเนสโก้ยกให้ หลวงพระบาง เป็นเมืองมรดกโลกชื่อของ หลวงพระบาง กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลวงพระบาง จึงกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของลาว
ในสมัยที่เมือง หลวงพระบาง เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรล้านช้างมีพระเจ้าฟ้างุ้มเป็นผู้รวบรวมแว่นแคว้นต่างๆ ของชนเผ่าไท-ลาวในเขตลุ่มน้ำโขง แม่น้ำคาน แม่น้ำอู ก่อตั้งอาณาจักรล้านช้างขึ้นมา โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ หลวงพระบาง ในช่วงปี พ.ศ. 1896-1916 โดยการช่วยเหลือของกษัตริย์ขอม (เพราะมเหสีของเจ้าฟ้างุ้ม คือพระราชธิดาของกษัตริย์ขอมในขณะนั้น) พร้อมกับการรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาแทนการนับถือผี ลาวเป็นประเทศหนึ่งที่สืบเชื้อสายบรรพบุรุษเดียวกับชาวไทย แต่ลาวมีชนกลุ่มน้อยมากมายหลายเผ่า ชาวลาวแท้ๆ มีเพียง 50% เท่านั้น นิยมอาศัยอยู่ที่ราบริมน้ำโขง ส่วนชาวเขานิยมอยู่บนเทือกเขา
ย้อนกลับไปยังอาณาจักรล้านช้างซึ่งเดิมมีชื่อเรียกว่า "เมืองชวา" ประมาณปี พ.ศ. 1900 มีการเปลี่ยนชื่อ จากชื่อมาเป็น "เมืองเชียงทอง" เนื่องจากมีชาวชวาอาศัยอยู่มากกว่ากลุ่มอื่น กระทั่งกษัตริย์ขอมได้พระราชทานพระพุทธรูปองค์หนึ่งชื่อว่า พระบาง เป็นพระพุทธรูปศิลปะสิงหล เจ้าฟ้างุ้มจึงทรงเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น "หลวงพระบาง" และเรียกมาจนปัจจุบัน
พ.ศ. 2088 พระเจ้าโพธิสารราชเจ้า โปรดฯ ให้ย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรล้านช้าง ไปอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ แม้หลวงพระบาง จะไม่ได้เป็นเมืองหลวงต่อไป แต่เจ้ามหาชีวิต(กษัตริย์) ยังคงประทับที่เมืองหลวงพระบาง ต่อมาอาณาจักรล้านช้างแตกออกเป็น 3 อาณาจักร คือ
1. อาณาจักรล้านช้าง หลวงพระบาง
2. อาณาจักรล้านช้าง เวียงจันทน์
3. อาณาจักรล้านช้าง จำปาศักดิ์
กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง ยังคงสืบทอดราชบัลลังก์กระทั่งถึงยุคสิ้นสุดของราชวงศ์ อันมีสาเหตุหลักมาจากตกเป็นเมืองขึ้นของสยาม เวียตนาม และฝรั่งเศส เหตุนี้เองหลวงพระบางจึงมาความเป็นมายาวนาน เป็นราชธานีเก่าแก่ วัดวาอารามมากมาย และมีธรรมชาติที่สวยงาม ปัจจุบันเมืองหลวงพระบางมีประชากรประมาณห้าแสนคน ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ที่ตั้ง : ตัวเมืองหลวงพระบางนั้น ตั้งอยู่ริมแม่น้ำคาน ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง อยู่ทางเหนือของประเทศลาว
หลวงพระบาง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกด้วยเหตุผล คือ มีวัดวาอารามเก่าแก่มากมาย มีบ้านเรือนอันเป็นเอกลักษณ์ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำคาน ซึ่งไหลบรรจบกันท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม และชาวหลวงพระบางมีบุคลิกที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตร และมีขนบธรรมเนียมประเพณีอันงดงาม
ซึ่งตรงกับเกณฑ์พิจารณาของยูเนสโกดังนี้
เป็นวัดที่ถือว่าเป็นอัญมณีแห่งล้านช้าง จากรูปแบบสถาปัตยกรรม และงานจิตรกรรมที่ประณีตและเป็นเอกลักษณ์ศิลปะแบบล้านช้าง พระวิหารมีรูปทรงงดงาม หลังคาซ้อนกัน 3 ชั้น ลวดลายหน้าบันวิหาร ประติมากรรมซุ้มประตูทางเข้า เป็นความสวยงามประเมินค่าไม่ได้ ภายในวิหาร จะมีพระประธานองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ท่ามกลางลวดลายที่ประณีต ที่หอไตรของวัดมีลวดลายฝาผนังประดับกระจกเป็นเรื่องราววิถีชีวิตที่แฝงคติธรรมะ ซึ่งวัดเชียงทองนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่คู่เมืองหลวงพระบาง คือ พระม่าน วัดเชียงทองนี้ถือว่าเป็นสถานที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง
หอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง หรือ หอคำ เดิมคือพระราชวังของเจ้ามหาชีวิตหลวงพระบาง จึงเรียกอีกชื่อว่า วังเจ้ามหาชีวิต สร้างเมื่อ พ.ศ. 2447 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ สืบทอดต่อมาถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของลาว ต่อมาปรับให้เป็นหอพิพิธภัณฑ์หลวง เมื่อ พ.ศ. 2519 โดยใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโบราณวัตถุและของมีค่า เช่น บัลลังก์ ธรรมาสน์ เครื่องสูงและราชูปโภคของเจ้าชีวิต พระพุทธรูป และวัตถุโบราณ รวมถึงของขวัญจากต่างประเทศ
สถาปัตยกรรมมีลักษณะสถาปัตยกรรมวิจิตรศิลป์ เป็นอาคารชั้นเดียว แต่ยกพื้นสูง หลังคาเป็นแบบล้านช้าง บริเวณหน้าประตูปูหินอ่อนจากอิตาลี ห้องต่าง ๆ ในอาคาร ได้แก่ ห้องฟังธรรมของเจ้ามหาชีวิต มีพระพุทธรูปจำนวนหนึ่ง รวมถึงธรรมาสน์ของพระสังฆราช ด้านหลังเป็นท้องพระโรง ห้องรับรองราชอาคันตุกะ มีภาพเขียนที่ฝาผนัง เป็นภาพวิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณีของคนลาว รวมถึงรูปขบวนเจ้ามหาชีวิตเสด็จไปสรงน้ำพระที่วัดเชียงทองและวัดใหม่สุวรรณภูมารามเป็นภาพเขียนแนวลัทธิประทับใจ เขียนโดยจิตรกรชาวฝรั่งเศส ยังมีรูปปั้นครึ่งพระองค์ของเจ้ามหาชีวิตลาว 4 พระองค์ และภาพรามเกียรติ์ปิดทองเคลือบเงาจากศิลปินลาว
ท้องพระโรงมีบัลลังก์หรือราชอาสน์ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ ผนังและเพดานพื้นเป็นสีแดง ประดับด้วยกระเบื้องโมเสครูปต่าง ๆ ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดเล็กจำนวนมากที่นำมาจากวัดที่ถูกทำลาย ห้องบรรทมของเจ้ามหาชีวิต ห้องบรรทมของพระราชินี ห้องบรรทมของพระโอรสพระธิดา ได้กลายเป็นห้องเก็บเครื่องดนตรี เครื่องแต่งกายนางแก้วและเครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณ มีศิลาจารึกจำนวนหลายหลัก เก่าแก่สุดระบุคริสต์ศตวรรษที่ 7 จารึกเป็นภาษาลาวโบราณ และยังมีส่วนแสดงภูษาอาภรณ์ เครื่องประดับ เหรียญตราต่าง ๆ ฯลฯ
ห้องเสวย ห้องรับรองราชอาคันตุกะของพระนางคำผูย พระราชินีองค์สุดท้ายของลาว มีภาพเขียนขนาดใหญ่ของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา พระนางคำผูย และเจ้าฟ้าชายวงศ์สว่าง เขียนโดยอิลยา กลาซูนอฟ ศิลปินชาวรัสเซีย ห้องเก็บของที่ระลึกจากผู้นำต่างชาติหลายประเทศ รวมถึงไทย เช่นของที่ระลึกของสหรัฐ เป็นสะเก็ดหินจากดวงจันทร์
ด้านหลังของหอพิพิธภัณฑ์มีอาคารเก็บราชพาหนะ บริเวณที่ตั้งของหอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง ยังเป็นที่ตั้งของหอพระบางซึ่งประดิษฐานพระบาง
เดิมเป็นวัดหลวง ตั้งอยู่ในหลวงพระบาง แขวงหลวงพระบาง ประเทศลาว ตั้งอยู่ใกล้พระราชวังหลวงพระบาง (หอคำ) เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดของหลวงพระบาง สร้างโดยเจ้าอนุรุทธและเจ้ามันธาตุราช เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชของลาวจนถึงสิ้นสมัยราชอาณาจักร
สมัยเจ้ามันธาตุราชได้มีการสร้างพระพุทธรูป พระธาตุ หอขวาง และสมัยพระเจ้ามหินทรเทพนิภาธร โปรดให้สร้างระเบียงคดเพิ่มเติม เป็นต้น เคยเป็นที่ประดิษฐานพระบาง และใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
สิมของวัดเป็นแบบผสมผสานหลายสกุลช่างเข้าด้วยกัน เป็นสิมแบบโอ่โถงอยู่ในผังสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เกือบจะคล้ายกับสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีขนาดใหญ่ สูงโปร่ง เครื่องประกอบหลังคา มีช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์อย่างอุโบสถศิลปะรัตนโกสินทร์ หลังคาแอ่นโค้ง มีโหง่และช่อฟ้า (สัตตะบูริพัน) ตกแต่งด้วยลายฟอกคำอย่างสิมแบบหลวงพระบาง หลังคามีการซ้อนชั้นแบบเชียงขวาง และมีคอสองแบบไทลื้อ ทวารบาล เช่น รูปเทวดาถือช่อดอกกระดันงา ตามแบบที่นิยมในศิลปะลาว ขณะเดียวกันก็มีรูปมังกรแบบจีนสลักไว้ด้านล่าง ส่วนภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประธาน เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง คนลาวเรียกว่า พระเอ้ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องต้นอย่างพระมหาจักรพรรดิ ศิลปะรัตนโกสินทร์ ส่วนผนังด้านในประดับพระพิมพ์ปิดทององค์เล็ก ๆ เป็นหมื่นองค์ มีภาพปูนปั้นปิดทองเรื่องพระเวสสันดรที่แฝงด้วยเรื่องราวการดำเนินชีวิตของชาวเมืองหลวงพระบาง ด้านหน้ายังปรากฏหอขวาง
เป็นนิทรรศการที่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับชนเผ่าต่างๆ ที่มีอยู่ในหลวงพระบางหรืออยู่ในลาว ด้วยการดัดแปลงบ้าน 1 หลังแบ่งเป็นห้องจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับชนเผ่าหลายเรื่องได้แก่วิถีชีวิตความเป็นอยู่ เครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรี โดยปกตินักท่องเที่ยวจากต่างชาติแถบยุโรปอเมริกาจะชอบมาเที่ยวที่นี่ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวทางฝั่งเอเชียจะไม่ค่อยมากันเท่าไหร่โดยเฉพาะคนไทยเพราะค่าเข้าค่อนข้างแพงส่วนภายในก็คล้ายๆ กับพิพิธภัณฑ์ที่มีอยู่มากมายในบ้านเรา
ค่าเข้าชม 25,000 กีบ (อาจมีการเปลี่ยนแปลง)
เวลาทำการ 09:00 - 18:00
น้ำตกตาดกวางสี (ຕາດກວາງຊີ) เป็นน้ำตกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ประมาณ 32 กิโลเมตร ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดของหลวงพระบาง
น้ำตกตาดกวางสี มีจำนวนชั้นทั้งหมด 4 ชั้น มีความสูงโดยรวมประมาณ 75 เมตร เป็นน้ำตกหินปูน น้ำในน้ำตกจึงมีสีเขียวมรกต ภายในน้ำตกมีการจัดการท่องเที่ยวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีพื้นที่แบ่งออกเป็นพื้นที่รับประทานอาหาร โดยไม่อนุญาตให้มีการปรุงอาหาร พื้นที่สำหรับเล่นน้ำ และมีการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ
ราคาบัตรผ่านเข้าชม 20,000 กีบ (อาจมีการเปลี่ยนแปลง)
เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 6.00-17.00 น.
บริเวณทางเข้าน้ำตกจะมีศูนย์อนุรักษ์หมี ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมหมีจากการช่วยเหลือจากการค้าสัตว์ป่าในสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศลาว ซึ่งค่าเข้าชมส่วนหนึ่งก็นำมาอนุรักษ์บำรุงหมี
ก่อตั้งในปี 2543 โดยหญิงสาวชาวอังกฤษชื่อ Joanna (Jo) Smith และ Veomanee ( Veo ) Douangdala ชาวประเทศลาว ออก พบ ตก หรือที่รู้จักกันในชื่อ OPT ได้เติบโตขึ้นจากร้านค้าเล็ก ๆ ที่จำหน่ายสินค้าออกแบบเพียงไม่กี่อย่าง ได้กลายมาเป็นแหล่งสิ่งทอที่สำคัญและสถาบันศิลปะในประเทศลาวและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในตอนนี้ ออก พบ ตก มีพนักงานมากกว่า 78 คน
ออก พบ ตก (หรือที่แปลว่า"ตะวันออกพบตะวันตก" ในภาษาลาว) ก่อตั้งขึ้นบนหลักการของการค้าที่เป็นธรรมและการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน บริษัท เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจเพื่อสังคมและแฟชั่นจริยธรรม
ไม่ว่าคุณจะมีเวลา 30 นาที หรือ 30 ชั่วโมง ถ้าคุณอยากลองเรียนหรือทานอาหารกลางวันที่ เรายินดีที่จะมอบสิ่งพิเศษให้คุณได้สัมผัสในขณะที่อยู่ในหลวงพระบาง เข้าร่วมทัวร์พร้อมไกด์ฟรีแล้วเดินเล่นไปในสวนหรือมาที่ Living Crafts Center เพื่อชมช่างทอผ้าต้นแบบ 28 คนบนเครื่องทอผ้าของพวกเขา
Saffron Coffee ร้านนี้เรียกได้ว่าเป็นร้านกาแฟที่คัดสรรมาอย่างดี ตั้งแต่การปลูกที่จะคัดคนปลูกเอง เลือกเกรดกาแฟ และที่สำคัญที่นี่คั่วเมล็ดกาแฟเองอีกด้วยค่ะ กาแฟที่นี่เป็นกาแฟที่มีรสเฉพาะของประเทศลาวเลย เมนูที่ร้านมีทั้งเค้ก ของหวาน กาแฟ เครื่องดื่มร้อน-เย็น เมนูน่าทาน เช่น เอสเปรสโซ ลาเต้ เค้กแครอท
พูสี (ພູສີ) เป็นเนินเขาสูง 100 เมตร (328 ฟุต) ใจกลางเมืองเก่าหลวงพระบาง ประเทศลาว ตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรเมืองเก่า ด้านหนึ่งติดกับแม่น้ำโขงและอีกด้านหนึ่งติดกับแม่น้ำน้ำคาน บนยอดเขาประดิษฐาน พระธาตุพูสี พระธาตุเป็นทรงดอกบัวสี่เหลี่ยมสีทอง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมยอดประดับด้วยเศวตฉัตรทองสำริด 7 ชั้น สูงประมาณ 21 เมตร
ขึ้นเนินไปครึ่งทาง มองเห็นน้ำคานคือ วัดธรรมภูศรี วัดพุทธศาสนา ที่ยอดเขานั้น มองเห็นเมืองและชนบทโดยรอบ คือ วัดชมศรี ซึ่งเป็นวัดพุทธและเป็นจุดเด่นของการท่องเที่ยวหลวงพระบาง
ค่าทางเข้าพูสี 20,000 กีบ (อาจมีการเปลี่ยนแปลง)
แหล่งวัตถุดิบที่สดใหม่ของเมืองหลวงพระบาง เป็นตลาดแห่งแรกในตอนเช้า ที่ชาวบ้านต่างพากันไปซื้อผักปลา สมุนไพรต่าง ๆ ไข่ ผลไม้สด รวมถึงเนื้อสัตว์ต่างๆ เป็นตลาดกลางแจ้งที่พ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่จะขายสินค้าของพวกเขาเองใต้ร่มขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่เหมาะจะซื้อ ไคแผ่น (สาหร่ายแม่น้ำ) เนื้อควายแห้ง กล้วยและหน่อไม้ทอด ถึงแม้ว่าคุณจะไม่สนใจซื้ออะไร แต่มันก็คุ้มค่าที่จะไปเยี่ยมชมเพื่อถ่ายรูปสิ่งแปลก ๆ และน่าอัศจรรย์
เวลาเปิดทำการ: 5:00น. - 11:00น.
สถานที่ตั้ง: อยู่หลังศูนย์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว
สำหรับการเดินทางไปยังเมืองหลวงพระบาง โดยปกติจะสามารถเดินทางได้รูปแบบ คือ
- โดยทางเครื่องบิน ลาวแอร์ไลน์ (สุวรรณภูมิ เชียงใหม่) บางกอกแอร์เวย์ แล้วก็ไทยแอร์เอเชียร์
- โดยรถยนต์ส่วนตัว เข้าทางด่านห้วยโก๋น จ.น่าน ผ่านอุดมไซ ไปเที่ยวหนองเขียว เมืองงอย หรือ เข้าทางเวียงจันทน์,วังเวียง ไปยังหลวงพระบาง
- รถโดยสารระหว่างประเทศจากจ.เลย ออกทุกวัน 08.00 ถึงหลวงพระบาง 18.00น, เชียงใหม่-หลวงพระบาง
- โดยรถไฟความเร็วสูงซึ่งมักจะเรียกกันในชื่อ ทัวร์รถไฟลาวจีน ซึ่งต้อนทางจะอยู่ที่เวียงจันทน์
- แต่ถ้าให้สะดวกสุดคือใช้บริการแพ็คเกจทัวร์ โดยค้นหาบริการใน Google ด้วยคำว่า ทัวร์หลวงพระบาง